จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

มหาวิหารเซนต์วิตุส (St. Vitus Cathedral)

     มหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus Cathedral) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก และเป็นโบสถ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองมากว่าพันปี 

  มหาวิหารเซนต์วิตุส (St. Vitus Cathedral)

    มหาวิหารเซนต์วิตุส (St. Vitus Cathedral)เป็นมหาวิหารสไตล์โกธิกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงปร๊าก พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 ทรงโปรดให้สถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อแมททิวแห่งอาร์ราส (Matthhew of Arras) สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1344 มหาวิหารมีความกว้าง 60 เมตร ยาว124 เมตร หอคอยสูง 97 เมตร การก่อสร้างในช่วงแรกๆ ยังไม่สมบูรณ์ มีการก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายร้อยปีค.ศ. จนมาเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีค.ศ. 1929


     ภายในมหาวิหารประดับกระจกสีอันวิจิตรงดงาม เป็นรูปภาพของนักบุญและเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา ที่น่าสนใจก็คือบริเวณแท่นบูชาของเซนต์เวนเซสลาส (Chapel of St. Wenceslas) ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดเทคนิคเฟรสโกและอัญมณีมีค่าถึง 1,345 ชิ้น

 
    ภายในจะเห็นโถงแบบโกธิก หน้าต่างประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสวยงามยามแสงจากภายนอกส่องลอดเข้ามาภายในจะเห็นโถงแบบโกธิก 
 
โถงแบบโกธิก
   
    ห้องโถงจากประตูทางเข้าจนถึงแท่นบูชาที่ได้ประดับประดาไปด้วยงานศิลปกระจกสี ตามหน้าต่างทั้งหลาย (สร้างผลงานโดยศิลปินชาวเช็กผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านงานศิลปะนูโวชื่อ อัลฟอนส์ มูชา “Alfons Mucha”) ซึ่งของประดับประดาภายในได้ส่องประกายแวววาวไปทั่ว
   
ศิลปะแบบอาร์ตนูโว

   
     ห้องใต้ดินของมหาวิหารที่ใช้เป็นสุสานของพระราชวงศ์ส่วนใหญ่ทั้งกษัตริย์และ ราชินีของยุคโบฮีเมียนซึ่งเป็นที่พักผ่อนที่สุดท้ายชั่วกาลนาน(อย่างเช่นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4, (Charles IV) กษัตริย์เวนเชสลาสที่ 4, (Wenceslas IV) จอร์จ แห่งโพดแบรดดี้ (George of Poděbrady) จักรพรรดิ์รูดอลฟ์ที่ 2 (Rudolf II) พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1และยังรวมถึงพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2อีกด้วย

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ปราสาทในเทพนิยาย นอยชวานสไตน์

มื่อพูดถึงปราสาทแล้ว หลายคนอาจจะนึกถึงปราสาทของดิสนีย์เป็นอันดับหนึ่ง  แต่ปราสาทที่เป็นต้นกำเนิดของปราสาทดิสนีย์อยู่ในประเทศ เยอรมนี มีชื่อว่าปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein)  นับเป็นปราสาทที่โด่งดังที่สุดในโลก  อยู่ในแคว้นบาวาเรียทางตอนใต้ของประเทศ ติดเทือกเขาแอลป์



   ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein)

    ปราสาทนอยชวานสไตน์สร้างขึ้นบนยอดเขาลูกนึง ที่รายล้อมด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาแอลป์และทะเลสาบด้านล่าง จุดประสงค์ของการสร้างปราสาทนี้เพื่อให้ผสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติอันงดงาม รอบด้าน ปกติการสร้างปราสาทจะต้องมีสวนที่สวยงามเป็นบริเวณกว้าง มีการสร้างบ่อน้ำพุในสวน แต่นอยชวานสไตน์ไม่จำเป็นต้องมีสวน เพราะมีธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์รายล้อมอยู่แล้ว   ไม่ต้องมีน้ำพุ เพราะมีน้ำตกทางธรรมชาติอยู่ใกล้ ๆ
    ปราสาทนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งรัฐบาวาเรีย (มีพระชนม์ชีพระหว่าง 25 สิงหาคม พ.ศ. 2388 - 13 มิถุนายน พ.ศ. 2429) ในสมัยนั้นเยอรมันยังไม่ได้รวมกันเป็นประเทศอย่างในปัจจุบัน แคว้นเล็กๆต่างปกครองกันเอง มีกษัตริย์ของตัวเอง กษัตริย์ลุดวิกทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุเพียง 18 ชันษา เป็นกษัตริย์อารมณ์ศิลป์ สนใจศิลปะ ดนตรี และวรรณกรรม มากกว่าจะสนใจปกครองบ้านเมือง  ทรงนิยมสร้างปราสาท หลงไหลในตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับเทพของเยอรมันและพวกไวกิ้ง และชื่นชอบอุปรากรของริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) เป็นชีวิตจิตใจ จนพวกขุนนางทนไม่ไหว ตั้งข้อหาสติวิปลาส  แล้วปลดพระองค์ลงจากตำแหน่ง หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนพบพระศพจมน้ำตายอย่างปริศนา 
  พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งรัฐบาวาเรีย
    นับตั้งแต่วันที่เริ่มสร้างจนถึงปัจจุบัน ปราสาทแห่งนี้มีอายุราว 140 ปี ผู้ที่ออกแบบปราสาทแห่งนี้ไม่ใช่สถาปนิก แต่กลับเป็นคนออกแบบฉากละคร ทำให้ปราสาทแห่งนี้เหมือนปราสาทในจินตนาการมากกว่าปราสาทแห่งอื่น ภายนอกสร้างให้ดูเหมือนปราสาทในยุคกลาง แต่ภายในเต็มไปด้วยศิลปะในยุคต่างๆ ไบแซนไทน์ โรมันเนสก์ โกธิก แถมพระองค์ยังมีหัวก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุดมาใช้ในปราสาท แห่งนี้ ทั้งระบบไฟฟ้า ประปา แถมยังมีโทรศัพท์ในปราสาทอีกด้วย มีระบบทำน้ำร้อนน้ำเย็นพร้อมเสร็จ
 

ชื่อของปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein) มีความหมายดังนี้
neu = new แปลว่าใหม่
schwan = swan แปลว่าหงส์
stein = stone แปลว่าหิน
ฉะนั้นนอยชวานสไตน์ จึงแปลว่า New Swan Stone Castle หรือปราสาทหินหงส์ใหม่
    ภายในตัวปราสาทจะเปิดให้เข้าชมทั้งหมด 14 ห้อง ห้องส่วนใหญ่จะประดับประดาด้วยภาพวาดเกี่ยวกับตำนานและนิทานพื้นบ้าน โดยเฉพาะเรื่องที่มาจากอุปรากรของวากเนอร์ เช่น Tannhäuser, Lohengrin, Tristan and Isolde, Parsifal
ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner)
 
    Throne Hall หรือห้องราชบังลังก์ ดูยิ่งใหญ่อลังการ สีเหลืองทองอร่ามในศิลปะแบบไบแซนไทน์ แต่ห้องนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เพราะขาดสิ่งสำคัญที่สุดของห้อง ก็คือบัลลังก์นั่นเอง โคมระย้าที่ตั้งอยู่กลางห้องมีน้ำหนักถึง 900 กิโลกรัม สามารถชักรอกลงมาได้เพื่อทำความสะอาดหรือเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่ 

 Throne Hall  
    ห้องบรรทมของพระเจ้าลุดวิก ได้สร้างขึ้นในศิลปะแบบโกธิก มีงานแกะสลักไม้อย่างวิจิตรบรรจง ภาพวาดในห้องนี้มาจากอุปรากรเรื่อง Tristan and Isolde ของวากเนอร์ ข้างๆพระเก้าอี้สีน้ำเงินเป็นโต๊ะสำหรับล้างพระพักตร์ ใช้เทคโนโลยีน้ำประปายุคปัจจุบันให้น้ำไหลผ่านคอหงส์เงิน 
Bedroom
    ห้องชั้นบนสุดของปราสาท เรียกว่า Singers Hall เป็นห้องที่ใช้สำหรับจัดแสดงอุปรากรของวากเนอร์โดยเฉพาะ มีการออกแบบระบบอคูสติกของห้องเป็นอย่างดี และแน่นอน ภาพวาดที่ประดับห้องนี้มาจากอุปรากรเรื่อง Parsifal ของวากเนอร์ กษัตริย์ลุดวิกไม่มีโอกาสได้ทอดพระเนตรการแสดงในห้องนี้ขณะที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ 

    ปราสาทนอยชวานสไตน์เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอันดับหนึ่งของเยอรมนี  และทำรายได้ให้ประเทศเป็นเงินมหาศาล

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทพเจ้ากรีก - โรมัน

ตำนานเทพเจ้ากรีก

   ตำนานเทพเจ้ากรีก-โรมัน (Greek-Roman Mythology) คือ ศาสตร์หรือวิชาหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับตำนานหรือเรื่องเล่าขานต่างๆของเหล่าเทพเจ้าของชาวกรีก บางทีเราเรียกรวมกันว่า เทพเจ้ากรีก-โรมัน เพราะชาวโรมันรับอารยธรรมกรีกมาใช้แล้วเอาความเชื่อเรื่องเทพเจ้ามาด้วยเพียงแต่ชาวโรมันเปลี่ยนชื่อของบรรดาเทพเจ้ากรีกให้เป็นชื่อของตนแต่ตำนานความเป็นมาของเทพแต่ละองค์ยังคงเหมือนของกรีกทุกประการ
เทพเจ้ากรีก-โรมันมีมากมายหลายสิบองค์และเหล่าเทพบางองค์มีความสัมพันธ์กับทั้งเทพและมนุษย์ จึงเกิดทายาทเป็นทั้งมนุษย์และอมนุษย์อีกนับไม่ถ้วน เราสามารถเขียนแผนภูมิต้นไม้หรือ Family Tree ของ เทพเจ้าได้ แผนภูมิต้นไม้นี้แสดงถึงต้นกำเนิดของเทพแต่ละองค์ว่ามาจากไหน ใครเป็นผู้ให้กำเนิดและยังโยงต่อไปได้อีกว่าใครเป็นลูกหลาน แล้วโยงต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่มีจุดจบดังรากไม้ จึงมีอีกวิชาที่เกิดขึ้นคือ Genealogy of Greek-Roman Mythology เป็นการศึกษาแผนภูมิต้นตระกูลของเหล่าเทพและบรรดาทายาทของปวงเทพ


สันนิษฐานของที่มาของการเกิดเทวตำนานเทพเจ้ากรีก-โรมัน
   อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าทำไมฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือเหตุใดจึงมีเสียงสะท้อนจากถ้ำเมื่อเราส่งเสียง หรือ ฯลฯ นั่นเพราะความกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติจึงพยายามหาเหตุผลและชาวกรีกชอบฟังนิทานเรื่องเล่าปรัมปรา, ชอบแต่งโคลงกลอน จึงรักการขับลำนำและดีดพิณคลอไปด้วยจึงทำให้การขับลำนำเป็นที่นิยม เล่ากันว่าโฮเมอร์ (Homer) ก็เป็นนักขับลำนำชั้นยอดคนหนึ่งของกรีก ใครๆก็รักน้ำเสียงการเล่านิทานของเขา แรกเริ่มเทวตำนานเป็นบทกลอนที่ท่องจำกันมาเป็นรุ่นๆต่อมามีการบันทึกเป็นรายลักษณ์อักษร เราจึงไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่งตำนานเทพเจ้า บ้างก็ว่า โฮเมอร์ (Homer) แต่ง อีเลียด (Iliad) บ้างก็ว่าแค่รวบรวม บ้างก็ว่ากวีกรีกนาม เฮซิออด Hesiod แต่ง ส่วน โอวิด Ovid กวีโรมก็เล่าถึงเทวตำนานแต่ใช้ชื่อตัวละครต่างกัน เล่มของโอวิดจะเล่าได้พิสดารกว่าของนักเขียนคนอื่น

เทพเจ้ากรีก-โรมัน แห่งยอดเขาโอลิมปัส  เทพ 12 องค์บนยอดเขา Olympusเทพชั้นสูง อยู่บนสวรรค์บนยอดเขาโอลิมปัส(Olympus)
มีทั้งหมด 12 องค์ ดังนี้
Jupiter_Versailles_Louvre_M

1. ซูส (Zeus) เป็นพระบิดาของบรรดาเทพเจ้าและเหล่าอมตชน รวมทั้งเป็นประมุขแห่งสวรรค์ด้วย ซูสเป็นบุตรแห่ง Cronos กับ Rhea มีพี่น้องทั้งหมด 5 องค์ คือ 
ดิมิเทอร์ (Demeter) , Hades , เฮร่า (Hera) , เฮสเทีย (Hestia) และ โพไซดอน (Poseidon)

   ซูสมีอาวุธเป็น Thunderbolt (สายฟ้า) มีนกประจำพระองค์คือนกอินทรี มีสถานศักดิ์สิทธิ์ที่ Arcadia , Crete , Dodona และ Rhodes ซึ่ง
จะมีการรำลึกถึงพระองค์โดยการจัดแข่งกีฬาโอลิมปิก 4 ปี ต่อครั้ง บนภูเขาโอลิมปัสนั่นเอง
2. โพไซดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลของกรีก เป็นบุตรแห่ง Cronos กับ Rhea 
มีพี่น้องทั้งหมด 5 องค์ คือ Demeter , Hades , Hera , Hestia และ Zeusโพไซดอนเป็นผู้ที่ประทานม้าให้แก่มนุษย์ เคยช่วย Apollo สร้างกำแพงเมืองทรอย และยังสร้างความเกลียดชังที่ไม่อาจแก้ไขได้ให้แก่ Troy ด้วย หลังจากที่ทรงทำอุบายให้
พวก Trojan นำม้าไม้เข้าไปในเมือง สัญลักษณ์ของพระองค์คือ “สามง่าม” หรือ “ตรีศูล” ที่สามารถแหวกน้ำทะเล และทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้
image god/333px-Demeter_Pio-Clementi
3. ดิมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเกษตรกรรม

358px-Hera_Campana_Louvre_M
4. เฮร่า (Hera) ราชินีแห่งสวรรค์ เป็นบุตรีแห่ง Cronos กับ Rhea มีพี่น้องทั้งหมด 5 องค์ คือ Demeter , Hades , Hestia ,
Poseidon และ Zeus เธอได้ขอให้ Zeus เข้าพิธีสมรสกับเธอ หลังจากที่ Zeus ปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์กับเธอ
  เฮร่าเป็นเทพีแห่งการให้กำเนิดทารก การสมรส และสตรี เมืองที่เธอโปรดปรานคือเมือง Argos ซึ่งได้มาจากการเอาชนะ โพไซดอน และเมือง Stymphalus ซึ่งเป็นเมือง
บ้านเกิดของเธอ ผู้ติดตามของเธอชื่อ Euboea สัตว์ประจำพระองค์คือนกยูง ผลไม้คือแอปเปิลและทับทิมเฮร่าเป็นผู้ที่ช่วยเหลือชาวเรือ Argo ไว้หลายครั้งในการผจญภัย เป็นผู้ช่วยเหลือชาวกรีกในสงครามกับ ทรอย และได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่ขี้หึงที่สุดในบรรดาเทพีแห่งสวรรค์ เธอมักจะตามไปลงโทษผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับ Zeus ทั้งที่บางครั้งหญิงเหล่านั้นดูเหมือนถูก ซูสข่มขืนเสียมากกว่า  
5. เฮสเทีย (Hestia) เทพแห่งการครองเรือน เทพแห่งครอบครัว เป็นบุตรีแห่ง Cronos กับ Rhea มีพี่น้องทั้งหมด 5 องค์ คือ Demeter , Hades 
, Hera , Poseidon และ Zeus พระนางเป็นเทพีที่เป็นพรหมจารีตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่ได้รับการสู่ขอจาก Apollo และ Poseidon หลายครั้งในฐานะของเทพีผู้รักษาบ้าน พระนางเป็นผู้ที่สร้างบ้านขึ้นเป็นคนแรก วิหารของพระนางอยู่ที่กรุงโรม ซึ่งจะได้รับการบวงสรวงจากสาวพรหมจารี พระนางมีสัญลักษณ์เป็นไฟนิรันดร
Ares_villa_Hadriana
6. อาเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม บุตรของ Zeus กับ Hera เป็นพี่ชายของ Eris พระองค์เป็นชู้รักของ Aphrodite ซึ่งเป็นน้องสาวของตนเองสัตว์ประจำพระองค์คือเหยี่ยวและสุนัข (บางตำราว่าเป็นนกแร้ง) ม้าของพระองค์มี 4 ตัว ชื่อ Aithon , Conabos , Phlogios และ Phobos 
พระองค์อยู่ฝ่าย Troy เมื่อครั้งทำสงครามกับกรีก และถูก Aloeidae ขังไว้ในโอ่งสำริดเป็นเวลาถึง 13 เดือน
296px-Roman_Statue_of_Apoll
7. อพอลโล่ (Apollo) เทพเจ้าแห่งการทำนาย การรักษา และดนตรี เป็นบุตรแห่ง Zeus และ Leto มีน้องสาวฝาแฝดชื่อ Artemis พระองค์เป็นผู้ที่มีเรื่อง
ราวความรักมากมาย และมักเป็นความรักที่ไม่สมหวังอพอลโล่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ Laurel สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือนกกาเหว่าและห่าน เครื่องดนตรีพระจำพระองค์คือพิณ และเกาะประจำพระองค์คือเกาะ Delos พระองค์เป็นผู้ช่วยเหลือฝ่าย Troy โดยเฉพาะ Hector ในสงครามกับกรีก นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นผู้สังหาร Python และ Cyclops อีกด้วยวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์คือ Delphi ซึ่งที่นั่นจะมีนักบวชคอยบอกคำทำนายของพระองค์ให้แก่ประชาชนที่มาสักการบูชา


8. อาเทมีส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ เป็นบุตรีของซูสและ Leto
เป็นน้องสาวของอพอลโล่ พระองค์เป็นเทพีที่เป็นพรหมจรรย์องค์หนึ่งใน 3 องค์
ภาพที่ผู้คนเห็นอยู่เสมอๆ คือพระองค์จะถือธนูและศร มีสุนัขติดตาม บางครั้งอาจเห็นเธออยู่บนรถศึกเทียมด้วยกวางขาวพระองค์เป็นผู้ให้การสนับสนุนฝ่ายทรอยในสงครามกรุงทรอย ตามอย่างพี่ชาย และได้ทำให้เกิดลมพัดสกัดกองทัพกรีกไว้ไม่ให้เข้าถึงประตูเมืองได้
9. เฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการค้า เทพแห่งการโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ เป็นบุตรของ Zeus กับ Maia สมรสกับ Lara พระองค์มักปรากฏ
กายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้าง สวมรองเท้ามีปีก ถือคทาที่มีงูพัน เป็นผู้ประดิษฐ์พิณเป็นครั้งแรก โดยใช้เอ็นวัวขึงกับกระดองเต่า (ต่อมาพิณนี้จึงตกเป็นของ Apollo) 
พระองค์เป็นเทพองค์แรกที่สามารถจุดไฟโดยใช้ไม้สีกัน เป็นผู้คุ้มครองการค้าขาย โชคลาภ การแข่งขัน และการขโมย ว่ากันว่าพระองค์สามารถขโมยฝูงแกะของ Apollo เมื่อเกิด
ได้เพียง 1 วัน Hermes เป็นเทพฝ่ายกรีกในสงครามกรุง Troy

269px-Athena_Giustiniani_Mu
10. อาเธน่า (Athena) เทพีแห่งสงคราม ความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์ของกรีก เมื่อเธอเกิดได้โผล่ออกมาจากศีรษะของ Zeus ในชุดเกราะพร้อมรบ พระองค์
พำนักอยู่ ณ Acropolis แห่ง Athens ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์คือต้นมะกอกเทพีอเธนา เป็นผู้ที่มอบมะกอกให้กับมนุษย์เป็นองค์แรก ทำให้เมือง Athens ได้ใช้ชื่อของพระองค์เป็นชื่อเมืองเพื่อเป็นเกียรติ นอกจากนั้นยังเป็นผู้ให้บังเหียน Pegasus แก่ Bellerophon 
เป็นผู้ช่วย Perseus ฆ่า Medusa 
สอน Argus ให้ต่อเรือ Argo 
สอน Danaus ให้ต่อเรือรบสองหัว 
ช่วย Epeius สร้างม้าไม้ เพราะเป็นผู้อยู่ฝ่ายกรีกในสงครามกรุง Troy 
ให้ฟันมังกรแก่ Cadmus เพื่อนำไปหว่านบนพื้นดิน 
ช่วยเหลือวีรบุรุษต่างๆ ในโอกาสต่างๆ อีกมาก เช่น Heracles หรือ Odysseus
311px-NAMA_262_Aphrodite_Ep
11. อะโฟร์ไดตี้ (Aphrodite) เทพีแห่งความรักและความงาม เป็นบุตรีของ Zeus กับ Dione (บางตำราว่าเกิดจากฟองคลื่น) เนื่องจากพระนางเป็นเทพีที่มี
ความงดงามมาก สามารถสะกดสายตาชายได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าเทพด้วยกัน พระนางจึงเป็นเทพีที่มีเพศสัมพันธ์มากที่สุดองค์หนึ่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้แก่นกกระจอก นกนางแอ่น ห่าน และเต่า ส่วนดอกไม้และผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระนางได้แก่กุหลาบ Myrtle และแอปเปิล กล่าวกันว่าพระนางเป็นเทพีผู้คุ้ม
ครองเหล่าโสเภณีด้วย Aphrodite เป็นชนวนเหตุของสงครามกรุง Troy เพราะไปขโมยตัว Helen มาให้ Paris ดังนั้น พระนางจึงสนับสนุนฝ่ายกรุง Troy แล้วยังได้รับบาดเจ็บ
ในระหว่างการสงครามจาก Diomedes อีกด้วย
398px-Vulcan_Coustou_Louvre
12. เฮฟเฟสตุส (Hephaestus) เทพแห่งไฟ โลหะ และการช่าง เป็นบุตรของ Zeus กับ Hera (บางตำราว่าเป็นบุตรของ Hera ผู้เดียว) พระองค์เป็น
เทพที่พิการและอัปลักษณ์ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ถูก Zeus โยนลงจากสวรรค์เมื่อครั้งเข้าไปช่วย Hera จากการทะเลาะกับ Zeusเนื่องด้วยเหตุดังกล่าว พระองค์จึงถูกพระบิดาและมารดาทอดทิ้ง Hephaestus ใช้เวลาช่วง 10 ปีแรกอยู่ในทะเล และได้สร้างโรงหล่อไว้ใต้ภูเขา Aetna มี 
Cyclops เป็นคนงาน โดยสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น มีดังนี้อาวุธของ Achilles และ Aeneas 
คทาของ Agamemnon สร้อยคอของ Harmonia ซึ่งผู้สวมใส่จะประสบเคราะห์ร้าย 
โล่ของ Heracles เทพชั้นรอง เป็นเทพที่ไม่ได้มีเทวสถานอยู่ในโอลิมปัส มีมากมายหลายพระองค์ ตัวอย่างเช่น Dionysus , Demeter , Eros , Asclepius , 
Hygieia เป็นต้น ซึ่งเทพเหล่านี้ต่างก็มีหน้าที่และความสำคัญต่างๆ กันไป

เหล่าวีรบุรุษ และวีรสตรี
   เหล่าวีรบุรุษและวีรสตรีของกรีกนั้น มีมากพอๆ กับพวกเทพเจ้า ดังนั้นจะขอกล่าวถึงเฉพาะวีรบุรุษที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันมากเท่านั้นHeracles เป็นผู้ที่ทำภารกิจทั้ง 12 ประการได้สำเร็จ เป็นผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดในกรีก นอกจากนั้นยังสร้างวีรกรรมอีกมากมาย 
Odysseus เป็นวีรบุรุษในสงครามกรุง Troy เนื่องจากเป็นผู้คิดประดิษฐ์ม้าไม้(White Base)ขึ้น และยังได้ผจญภัยในที่ต่างๆ อีกถึง 20 ปี ก่อนที่จะได้กลับบ้าน 
Jason เป็นหัวหน้าคณะ Argonaut ไปตามหาขนแกะทองคำ 
Perseus เป็นผู้สังหาร Medusa ได้สำเร็จ 
Bellerophon เป็นผู้จับ Pegasus ได้ แล้วขี่มันไปสังหาร Chimera 
Theseus เป็นผู้สังหาร Minotaur ได้สำเร็จ 
Hippolyte เป็นผู้มอบเข็มขัดให้ Heracles ในภารกิจที่ 9 ของเขา 
Atalanta เป็นคนแรกที่ทำให้หมูป่า Caledonian บาดเจ็บได้ และเป็นผู้สังหาร Centaur ได้ 
Polyphemus เป็นบุตรของ Poseidon อยู่ในเผ่ายักษ์ตาเดียว เป็นผู้สังหาร Acis และยังเป็นผู้จับตัว Odysseus ได้ พร้อมทั้งกินลูกเรือของเขาไปอีก
หลายคน
อ้า้งอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/
ช่วยกันเผยแพร่ความรู้ไปทั่วประเทศ ข้อมูลทั้งหมดในหน้านี้สามารถนำไปเผยแพร่ คัดลอกต่อโดยไม่ต้องขออนุญาต ภายใต้ สัญญาอนุญาตเอกสารเสรีของกนู
Wikipedia® เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ มูลนิธิวิกิมีเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความคิดสมัยใหม่ Modernism และ ความคิดหลังสมัยใหม่ Postmodernism



ความคิดสมัยใหม่ Modernism 
และ 
ความคิดหลังสมัยใหม่ Postmodernism

ความคิดสมัยใหม่ 
Modernism

              เราต้องยอมรับว่า สังคมนี้เป็นสังคมสมัยใหม่ที่เจริญทางวัตถุ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันมีทั้งผลดีและเสีย สร้างทั้งความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมเสีย สังคมมนุษย์เจริญก้าวหน้ามากเท่าไร  มนุษย์ยิ่งจำเป็นต้องการรู้ตนเองและสังคมมากเท่านั้น นักคิดทางสังคมทั้งหลายจึงพยายามศึกษาเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อความรู้เข้าใจความเป็นมนุษย์กับสังคม เห็นความแตกต่างของสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจนที่เป็นไปตามกาลเวลา ตามหลักสัจจธรรมที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจังไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม การปฏิบัติ วิทยาการ  สิ่งประดิษฐ์ และเทคโนโลยีทั้งหลาย เกิดการยอมรับการวิวัฒนาการสังคมกันอย่างแพร่หลาย ยอมรับสิ่งใหม่มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่แทนของเดิม ทำให้ของเดิมที่มีอยู่แล้วกลับถูกมองเห็นว่าเก่าโบราณล้าหลังไม่ทันสมัยไม่ ยอมรับกันอีกต่อไป อะไรคือความจริง อะไรคือใหม่ อะไรคือเก่า อะไรคือทันสมัย อะไรคือล้าหลัง
 
              ความคิดสมัยใหม่ (Modernism, Modernity or Modernization) ตาม Habermas (1987) และ Barry Smart กล่าวเอาไว้ว่า เริ่มมีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 มาจากภาษาละตินว่า “modernus = modern” เป็นการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่ในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปสู่สิ่งอื่น แล้วต่อมาไม่นาน ก็มีการพยายามทำให้เกิดความแตกต่างกันใหม่อีกในชาวคริสต์ จากการนับถือศรัทธาพระเจ้าไปแสวงหาความรู้จริงสิ่งสากล พยายามรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายในสากลโลกตามความเป็นจริง รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายด้วยจิตหรือปัญญา เพราะอิทธิพลแนวความความคิดของคานต์ (Kant’s conception of a universal history) เป็นกระบวนการความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมจากเก่าไปสู่ใหม่ (Turner, 1991: 3) เป็นการแสวงหาความรู้จริงของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายตามการเปลี่ยนแปลงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของโลกทางสังคม เพราะความเป็นมาของสังคมนี้เชื่อศรัทธาในพระเจ้าเป็นผู้สร้างกำหนดบันดาล ไม่เชื่อมนุษย์และธรรมชาติคือผู้สร้างกำหนดแสดง
              แนวคิดใหม่ทันสมัย นักปราชญ์หรือนักคิดทางสังคมบางคนกล่าวบอกว่า ควรนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) แต่นักสังคมวิทยาส่วนใหญ่เห็นว่า แนวคิดใหม่ทันสมัย (Modernism) เป็นยุคประวัติศาสตร์ของสังคมยุโรปตะวันตก ที่เกิดการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นยุคที่สนใจศึกษาค้นคว้าปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบวิทยาศาสตร์ (Scientism) มาช่วยแก้ปัญหาสังคมทั้งหลายที่เกิดขึ้น แล้วส่งผลมีอิทธิพลต่อการศึกษาสังคมวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ของคองต์ในเวลาต่อมา (Comte’s positivism) 
              ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จึงถือได้ว่าเป็นยุคความคิดใหม่ทันสมัย  (Modernism) อันหมายถึงยุคสมัยให้ความสนใจในเรื่องศิลปะ วรรณคดี วิทยาการ สถาบัน  เหตุผล  การศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์  รูปแบบของชีวิต ความจริงของชีวิตบนฐานของความเจริญเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก กล่าวคือเป็น ช่วงเวลาแห่งความเจริญทางวัตถุ ความมั่นคงทางสังคม และความรู้เข้าใจตนเอง (Material progress, social stability and self-realization) ในยุโรปตะวันตก มีอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส  อิตาลี เป็นต้น แม้มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิดสมัยใหม่ ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ คือ ความจริง (Truth) เหตุผล (Rationality) วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) ผลของอุตสาหกรรม (Emergence of capitalism) การแผ่อำนาจทางตะวันตก (Western imperialism) การแพร่กระจายความรู้ และอำนาจทางการเมือง (Spread of literature and political power) การขับเคลื่อนทางสังคม (Social mobility)    เป็นสาเหตุสำคัญสนับสนุนส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมโลก ที่เรียกกันว่า “สมัยใหม่ความทันสมัย (Modernism)” เพราะผลของความเจริญทางการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนทางสังคม ทำให้มนุษย์ต้องการรู้เข้าใจตนเองและสังคมมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ทำให้ต้องมาคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความถูกต้องดีงามแบบสากล แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโลกร่วมกัน เพื่อความรู้เข้าใจใหม่ร่วมกัน จึงขอลำดับเหตุการณ์การวิวัฒนาการแนวความคิดใหม่ทันสมัย


ความคิดหลังสมัยใหม่
Postmodernism 

 

     “โพสต์ โมเดิร์น” “หลังสมัยใหม่” ในภาษาอังกฤษคือ post-modern หรือบ้างก็เขียนว่า postmodern หรือ ลัทธิหลังสมัยใหม่ (Postmodernism, โพสต์โมเดิร์นนิสม์)
เป็นที่เข้าใจกันว่าคำว่า โพสต์โมเดิร์นนิสม์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในงานเขียนชื่อ “อาร์คิเทคเจอร์ แอนด์ เดอะ สปิริต ออฟ แมน” (Architecture and the Spirit of Man) ของ โจเซ็พ ฮัดนอท (Joseph Hudnot) ในปี 1949 ต่อมาอีก 20 ปีให้หลัง ชาร์ลส์ เจนส์ (Charles Jencks) ช่วยทำให้แพร่หลายออกไป จนกระทั่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 นักวิจารณ์ศิลปะเริ่มใช้คำๆนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปกติ ในตอนนั้นคำว่า โพสต์โมเดิร์น ยังคลุมเครืออยู่มาก แต่โดยมากแล้วบ่งบอกถึงการต่อต้านลัทธิสมัยใหม่ (โมเดิร์นนิสม์)
     นักทฤษฎีทั้งหลายเชื่อว่าการเปลี่ยนจากลัทธิสมัยใหม่ไปสู่ หลังสมัยใหม่ นั้นบ่งบอกถึง”สำนึก” ที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมและระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจ บรรษัทข้ามชาติขนาดมหึมาได้ก้าวเข้ามาควบคุมวิถีชีวิตด้วยระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและสื่อมหาชนที่ทรงพลัง ซึ่งได้เข้ามาทำให้เขตแดนของประเทศชาติหมดความหมาย (ในแง่ของการถ่ายเททางข่าวสารข้อมูล อิทธิพลทางศิลปะและวัฒนธรรม) ตัวอย่างเช่น ภาพงานศิลปะในนิตยสารศิลปะที่สามารถเข้าถึงคนดูคนอ่านในระดับนานาชาติได้ อย่างรวดเร็ว
ลัทธิทุนนิยมในยุคหลังสมัยใหม่และหลังอุตสาหกรรมได้ทำให้ผู้บริโภคเกิด วิสัยทัศน์ใหม่ต่อประเด็นต่างๆในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพรมแดนของโลกตะวันออกและตะวันตกที่ถูกกำหนดขึ้นหลัง สงครามโลก ครั้งที่ 2 และเรื่องการปฏิวัติในด้านสิ่งแวดล้อมโลก ที่เริ่มขึ้นระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้การเส้นแบ่งแยกระหว่างลัทธิ “สมัยใหม่” กับ “หลังสมัยใหม่” ชัดเจนขึ้น
     “หลังสมัยใหม่” เป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงความเสื่อมศรัทธาใน “ความเป็นสมัยใหม่” หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังสมัยใหม่ ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีอย่างสุดขั้ว แต่ต่อต้าน “ความเจริญ” หรือ “ความก้าวหน้า” แบบลัทธิสมัยใหม่ที่ไม่สนใจ (หรือตอนนั้นยังไม่รู้) ผลกระทบที่รุนแรงต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
     ความคิดเกี่ยวกับลัทธิ “สมัยใหม่” ต้องการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปสู่ความเป็นสังคมยุคอุตสาหกรรม แต่ “หลังสมัยใหม่” มีความปราถนาที่จะก้าวไปสู่ยุคอิเล็คโทรนิคมากกว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การทำงานศิลปะสมัยใหม่และทฤษฎีศิลปะต้องอยู่ในกฏเกณฑ์มากขึ้น มีกรอบที่ชัดเจนและแคบลงเกือบจะเหลือแค่ “ศิลปะกระแสหลัก” ที่เป็นแนวนามธรรมกระแสเดียว จากแนวคิดและรูปแบบของศิลปะลัทธิ มินิมอลลิสม์ (Minimalism) ที่ทำให้ศิลปินในช่วงนั้นกลับไปสู่ความเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด จนเปรียบได้ว่ากลับไปที่เลขศูนย์เลยทีเดียว รูปทรงในศิลปะถูกลดทอนจนเปลือยเปล่า แทบจะไม่มีอะไรให้ดู
     การมองโลกในแง่ดีและความคิดในเชิงอุดมคติแบบลัทธิสมัยใหม่ต้องหลีกทางให้แก่ความรู้สึกที่ความหยาบกร้านและข้นดำของลัทธิ หลังสมัยใหม่
     ศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่ เติบโตขึ้นจาก พ็อพ อาร์ต (Pop Art), คอนเซ็ปชวล อาร์ต (Conceptual Art) และ เฟมินิสต์ อาร์ต (Feminist art) อันเป็นนวัตกรรมของศิลปินในยุคคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยแท้ พวก หลังสมัยใหม่ ได้ทำการรื้อฟื้นรูปแบบ ประเด็นสาระ หรือเนื้อหาหลายอย่างที่พวกสมัยใหม่เคยดูหมิ่นและรังเกียจที่จะเข้าไปเกี่ยว ข้อง โรเบิร์ต เว็นทูรี (Robert Venturi) สถาปนิกในยุค 1960 ได้เขียนแสดงความเห็นในงานเขียนที่ชื่อ “คอมเพล็กซิตี้ แอนด์ คอนทราดิคชัน อิน อาร์คิเทคเจอร์” (Complexity and Contradiction in Architecture) (ปี 1966) เกี่ยวกับ “หลังสมัยใหม่” เอาไว้ว่า “คือปัจจัย (ต่างๆ) ที่เป็น “ลูกผสม” แทนที่จะ “บริสุทธิ์”, “ประนีประนอม” แทนที่จะ “สะอาดหมดจด”, “คลุมเครือ” แทนที่จะ “จะแจ้ง”, “วิปริต” พอๆกับที่ “น่าสนใจ”
     ด้วยกระแส ลัทธิหลังสมัยใหม่ ทำให้ศิลปะในแนวคิดนี้หันกลับไปหาแนวทางดั้งเดิมบางอย่างที่พวกสมัยใหม่ (ที่ทำงานแนวนามธรรม) ปฏิเสธไม่ยอมทำ เช่น การกลับไปเขียนรูปทิวทัศน์และรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพวก หลังสมัยใหม่ ยังท้าทายการบูชาความเป็นต้นฉบับ ความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใครของพวกสมัยใหม่ ด้วยการใช้วิธีการที่เรียกว่า “หยิบยืมมาใช้” (Appropriation, แอ็บโพรพริเอชัน) มาฉกฉวยเอารูปลักษณ์ต่างๆ จากสื่อและประวัติศาสตร์ศิลป์ มานำเสนอใหม่ในบริบทที่เปลี่ยนไปบ้าง ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง เสียดสีบ้าง
     ในแวดวงทฤษฎีเกี่ยวกับศิลปะ “หลังสมัยใหม่” ได้ยกเลิกการแบ่งแยกศาสตร์ต่างๆ เช่น การแบ่งศิลปวิจารณ์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และสื่อสารมวลชนออกจากกัน โดยการนำเอาศาสตร์เหล่านั้นมาผสมร่วมกัน แล้วนำเสนอเป็นทฤษฎีหลังสมัยใหม่ เช่นงานทางความคิดของ มิเชล ฟูโค (Michel Foucault) ฌอง โบดริยารด์ (Jean Baudrillard) และ เฟรดริค เจมสัน (Fredric Jameson)
     ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในกระแสศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่ ในตะวันตกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ นิทรรศการศิลปกรรมย้อนหลัง สำหรับศิลปินที่ดังตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆ ทำให้เกิดแรงกดดันต่อศิลปินในการที่จะต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยัง น้อย ในหลายกรณีได้ทำให้เกิดการประนีประนอมระหว่างการ “ประสบความสำเร็จในอาชีพศิลปิน” กับ “อุดมการณ์ทางศิลปะ” ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับศิลปินในลัทธิสมัยใหม่เลย